คำถามที่พบบ่อย

การจัดกระดูกได้รับการควบคุมในประเทศไทยหรือไม่? (Is Chiropractic regulated in Thailand?)

ในปี ค.ศ. 2007 (2550) กระทรวงสาธารณสุขแห่งประเทศไทยอนุมัติกฎข้อบังคับสำหรับผู้มีอาชีพเกี่ยวกับการบำบัดโรคด้วยการจับกระดูกสันหลัง (ไคโรแพรคเตอร์) เพื่อให้ปฏิบัติอย่างถูกต้องตามกฎหมายในประเทศไทย ในการปฏิบัติอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ไคโรแพรคเตอร์ต้องสมัครและผ่านการสอบด้านการบำบัดโรคด้วยการจัดกระดูก (ไคโรแพรคติก) เป็นจำนวน 2 วัน ในการสมัครสอบนั้น ไคโรแพรคเตอร์ต้องมีปริญญาทางการแพทย์ด้านศาสตร์วิชาการแพทย์ไคโรแพรคติกจากสภาการศึกษาวิชาชีพไคโรแพรคติก (CCE) วิทยาลัยไคโรแพรคติกที่ได้รับการอนุมัติ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมในองค์ประกอบของวิทยฐานะนี้ กรุณาไปที่ www.cce-usa.org/ เว็บไซต์นี้เป็นแหล่งข้อมูลสำหรับใครก็ตามที่ต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับศาสตร์วิชาการแพทย์ไคโรแพรคติกและเรื่องการศึกษาของไคโรแพรคติกแพทย์เพื่อให้มีคุณสมบัติที่เหมาะสม ผู้สมัครทั้งหมดที่สมัครเพื่อสอบศาสตร์วิชาการแพทย์ไคโรแพรคติกของไทยจะต้องผ่านการกลั่นกรองในส่วนของประวัติการประพฤติมิชอบในวิชาชีพหรือประวัติอาชญากรรมก่อน

จากการผ่านการสอบของศาสตร์วิชาการแพทย์ไคโรแพรคติกเป็นผลสำเร็จแล้ว จะได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจที่ออกโดยกระทรวงสาธารณสุขแห่งประเทศไทย การบำบัดโรคด้วยวิธีการจัดกระดูกจะถูกต้องตามกฎหมายต่อเมื่อ

ก) ประกอบกิจโดยไคโรแพรคเตอร์ซึ่งได้รับใบอนุญาตที่สมบูรณ์ตามกฎหมายในปัจจุบัน และ

ข) ปฏิบัติในคลินิกที่ได้รับอนุญาตการให้บริการทางการแพทย์ ในประเทศไทยไคโรแพรคเตอร์ต้องปฏิบัติในคลินิกที่ได้รับอนุญาตที่ถูกต้องตามกฎหมาย คลินิกการให้บริการทางแพทย์ที่ได้รับอนุญาตทั้งหมดในประเทศจะต้องแสดงป้ายด้านนอกคลินิกโดยมีชื่อคลินิกและเลขที่ใบอนุญาตของคลินิกเห็นได้ชัดเจนบนป้าย ใบอนุญาตของไคโรแพรคเตอร์ต้องแสดงไว้ให้สังเกตเห็นได้ชัดเจนภายในคลินิกที่ได้รับอนุญาต คลินิกที่ได้รับอนุญาตจะต้องมีการตรวจสอบตามหลักเกณฑ์ปกติเพื่อรับรองว่าพวกเขาทำตามมาตรฐานที่กำหนด และคลินิกของเรานั้นได้รับใบอนุญาตมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542

ไคโรแพรคเตอร์ทุกคนที่มีใบอนุญาต ต้องเข้าสัมมนาด้านการศึกษาอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาใบอนุญาตในการประกอบกิจ ดร.มาร์คผ่านการสอบตั้งแต่ที่มีการดำเนินการจัดสอบครั้งแรกในปี พ.ศ. 2550 และคงใบอนุญาตของเขาตั้งแต่นั้นด้วยการเข้าร่วมการสัมมนาการต่อใบอนุญาตวิชาชีพที่กำหนดเป็นประจำ

สมาคมการแพทย์ไคโรแพรคติกแห่งประเทศไทยได้รับคำร้องเรียนจากคนที่รับการรักษาอย่างไม่ถูกต้องจากคนในประเทศไทยที่อ้างว่าเป็นไคโรแพรคเตอร์ ซึ่งจากการตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่าไม่ใช่ไคโรแพรคเตอร์ที่แท้จริงเลย การเลือกเข้ารับการรักษาจากไคโรแพรคเตอร์ที่ปฏิบัติตัวตามข้อกำหนดทางกฎหมายทั้งหมด เพื่อการประกอบกิจในประเทศไทยเป็นแนวทางที่ดีที่สุดที่จะทำให้มั่นใจได้ว่าคุณจะได้รับการรักษาที่เหมาะสมจากไคโรแพรคติกแพทย์ผู้มีคุณสมบัติที่เหมาะสมอย่างแท้จริง

ปกติฉันไปโรงพยาบาลสำหรับเรื่องต่างๆเกี่ยวกับสุขภาพของฉัน แล้วทำไมฉันควรไปที่คลินิกของคุณ?
(I usually go to the hospital for my health concerns. Why should I come to your clinic?)

ในประเทศไทย เป็นเรื่องปกติสำหรับคนทั่วไปที่จะเข้ารับการรักษาจากโรงพยาบาลในทุกเรื่องที่เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพของพวกเขา ซึ่งเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับประเทศตะวันตกหลายประเทศ ที่ผู้คนจะเข้ารับการรักษาตามคลินิกมากกว่า และจะไปโรงพยาบาลก็ต่อเมื่อมีปัญหาด้านสุขภาพที่รุนแรงเท่านั้น อาทิเช่น โรคมะเร็ง โรงพยาบาลเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในการเข้ารับการรักษา เนื่องจากปัญหาด้านสุขภาพที่รุนแรงนั้น ต้องการการรักษาด้วยเครื่องมือในการวินิจฉัยและการบำบัดโรคที่มีมูลค่าสูงมาก ซึ่งมักจะเป็นเงินหลายล้านดอลลาร์ ซึ่งไม่ใช่สำหรับกรณีของการรักษาโรคเกี่ยวกับระบบกล้ามเนื้อและกระดูกส่วนใหญ่ ในขณะที่เครื่องมือบางอย่างที่จำเป็นต่อการรักษาโรคเกี่ยวกับระบบกล้ามเนื้อและกระดูก จะมีความซับซ้อนและค่อนข้างมีราคาแพง อันที่จริงแล้วเครื่องมือราคาแพงเหล่านั้นก็อาจจะสามารถประสบความสำเร็จในการรักษาไม่มากเกินไปกว่าที่มารักษากับเรา ทางเรานั้น มีเครื่องมือทั้งหมดที่จำเป็นต่อการรักษาโรคเกี่ยวกับระบบกล้ามเนื้อและกระดูกให้เป็นผลสำเร็จแล้ว ซึ่งเป็นเครื่องมือในลักษณะการรักษาในรูปแบบดั้งเดิม หากคุณต้องการการทดสอบที่ซับซ้อน อาทิเช่น การตรวจด้วย MRI เราก็สามารถส่งคุณไปตรวจได้

ข้อดีที่คุณจะได้รับจากการรักษาที่คลินิกขนาดเล็กของเรา คือ คุณอยู่ในสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคยมากขึ้น ซึ่งในทางตรงกันข้าม คุณจะไม่ได้รับความรู้สึกเหล่านี้จากสถานพยาบาลใหญ่ ๆ เรามองเห็นความสัมพันธ์กันระหว่างสถานที่ที่จำนวนผู้ป่วยน้อยซึ่งตรงข้ามกับการมีจำนวนผู้ป่วยมากตามโรงพยาบาลท้องถิ่นว่า คุณจะได้พบกับทีมผู้เชี่ยวชาญเล็กๆทีมเดิมเป็นผู้รักษา มากกว่าการที่วันนี้ได้รักษากับคนหนึ่งพอมาอีกวันก็เปลี่ยนเป็นอีกคนซึ่งมักจะพบได้ในการไปโรงพยาบาลใหญ่ๆ

ฉันควรจะเตรียมตัวเพื่อเข้าพบอย่างไร? (How should I prepare for my visit?)

ข้อนี้เป็นคำถามที่สำคัญ คุณสามารถเข้าชมรายละเอียดได้ในส่วน “ศูนย์ผู้ป่วยใหม่” ของเว็บไซต์

ฉันจำเป็นต้องถ่ายภาพเอ็กซ์เรย์เพื่อที่จะเริ่มการรักษาหรือไม่? (Do I need x-rays to start treatment?)

โดยส่วนใหญ่การถ่ายภาพเอ็กซ์เรย์ หรือการทำ MRI นั้นมักจะไม่มีความจำเป็นในการเริ่มต้นทำการรักษา เนื่องจากในระหว่างขั้นตอนการซักประวัติผู้ป่วย เราจะพยายามมองหาอาการบ่งชี้อันตรายต่าง ๆ และพิจารณาว่ามีสิ่งที่แสดงว่าจำเป็นต้องใช้การวินิจฉัยด้วยภาพเอ็กซ์เรย์ หรือ MRIหรือไม่ ตั้งแต่ก่อนเริ่มต้นการรักษา ซึ่งสอดคล้องกับมาตรฐานสากลของข้อปฏิบัติที่ดีที่สุดในการรักษาอาการปวดหลัง หากเราพบว่าจะต้องมีการวินิจฉัยด้วยภาพ X-ray เพิ่มเติม ทางเลือกที่ดีที่สุดคือ เราต้องการให้คุณรอการรับใบสั่งตรวจด้วยภาพเอ็กซ์เรย์ จากทางเรา ซึ่งเป็นการดีกว่าที่คุณจะไปรับการถ่ายภาพจากที่อื่นด้วยตัวคุณเองก่อนที่จะมาพบเรา อันที่จริงแล้ว มีเหตุผลหลัก ๆ อยู่ไม่กี่ประการว่าทำไมเราจึงต้องการจะเป็นผู้ออกใบสั่งการรับการถ่ายภาพเอ็กซ์เรย์ให้แก่คุณเท่านั้น

ประการแรก นอกเหนือจากการพิจารณาความเจ็บป่วยด้านการรักษา อาทิ การร้าวและการบวม เราต้องการที่จะประเมินผลเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวและการทำงานของกระดูกสันหลังจากการถ่ายภาพเอ็กซ์เรย์ในการดำเนินการดังกล่าว เราทำการวัดผลขนาดแบบเฉพาะทางบนฟิล์มเอ็กซ์เรย์ ซึ่งอายุรแพทย์แพทย์ไม่ได้กระทำ เมื่อผู้ป่วยมีการถ่ายภาพเอ็กซ์เรย์ ก่อนที่จะมาพบเราตามคำสั่งของอายุรแพทย์ บ่อยครั้งที่นักเทคนิคด้านการถ่ายภาพด้วยรังสีเอ็กซ์เรย์โฟกัสจุดลำแสงของรังสีแคบเกินไปหรือพวกเขายิงรังสีในท่านอนหรือติดป้ายชื่อบนส่วนหนึ่งของการถ่ายภาพบริเวณจุดที่เราต้องการทำการวัดขนาด ความผิดพลาดเหล่านี้สามารถทำให้การถ่ายภาพเอ็กซ์เรย์ ไร้ประโยชน์ในการวิเคราะห์ผลการทำงานของกระดูกสันหลังไปเสีย อีกประการหนึ่ง คือเป็นการดีที่สุดหากผู้ป่วยรอจนกว่าการอักเสบเฉียบพลันที่เกิดขึ้นนั้นจะลดลงมากที่สุดก่อนการถ่ายภาพ เอ็กซ์เรย์ เนื่องจากการอักเสบเฉียบพลันจะทำให้สภาพร่างกายของคุณนั้นทรงตัว หรือยืนอยู่ในสภาวะหรือท่าที่แตกต่างจากภาวะปกติอย่างมาก ซึ่งเรียกกว่าท่าทางที่บรรเทาปวด เมื่อทำการถ่ายเอ็กซ์เรย์ในขณะ ปรากฏภาพท่าทางที่บรรเทาปวด ภาพที่ได้นั้นจะขาดข้อมูลทางชีวภาพที่สำคัญไป โรงพยาบาลที่เราแนะนำให้ผู้ป่วยไปทำการถ่ายภาพเอ็กซ์เรย์ จะรับทราบถึงสิ่งที่เราต้องการโดยหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดที่เป็นไปได้ต่างๆนี้ อีกประการหนึ่งคือเราต้องการภาพถ่ายเอ็กซ์เรย์ที่เป็นฟิล์มตัวจริง มากกว่าภาพ เอ็กซ์เรย์ในซีดี-รอม ในปัจจุบันโรงพยาบาลหลายแห่งทำการบันทึกภาพถ่าย เอ็กซ์เรย์ลงในแผ่น ซีดี-รอมด้วยเหตุผลว่าต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย เว้นเสียแต่ผู้ป่วยจะยืนยันร้องขอแผ่นฟิล์มตัวจริง หากคุณต้องการนำข้อมูลภาพถ่าย เอ็กซ์เรย์ที่เคยถ่ายไว้มาให้เรา ทางเราอยากจะขอให้คุณนำแผ่นฟิล์ม เอ็กซ์เรย์ตัวจริงมาด้วยถ้าเป็นไปได้ ซึ่งจะทำให้การประเมินผลทางด้านการเคลื่อนไหวและการทำงานของอวัยวะต่างๆเป็นไปได้ง่ายขึ้นจากการดูแผ่นฟิล์มตัวจริง

การรักษาใช้เวลานานเท่าไร? (How long are the visits?)

โดยส่วนใหญ่แล้ว การเข้าพบในแต่ละครั้งจะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ซึ่งในครั้งแรกมักจะนานกว่าปกติ สำหรับกรณีที่ยาก การเข้าพบในครั้งต่อๆไปอาจต้องใช้ระยะเวลามากกว่า 1 ชั่วโมงเช่นกัน ซึ่งจะไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมเมื่อการเข้าพบใช้ระยะเวลานานกว่าปกติ ผู้ป่วยที่มาก่อนเวลานัดพบมักจะได้รับผลประโยชน์จากการเพิ่มเวลา ในการเข้าพบปกติมักจะครอบคลุมถึง การนวดคลายพังผืดและกดจุดของเนื้อเยื่อส่วนลึก การทำกายภาพบำบัด และการดัดด้วยมือแบบไคโรแพรคติก ในบางครั้งการฝังเข็มดำเนินการเพิ่มเติมด้วยแพทย์แผนจีนที่มีคุณสมบัติเหมาะสมในคณะทำงาน เราพบว่าการนำเครื่องมือต่างๆที่กล่าวมาข้างต้นมารักษาร่วมกันนั้น จะให้ผลลัพธ์ที่ดีและรวดเร็วกว่าการรักษาทีละอย่างหรือเพียงเครื่องมือใดเครื่องมือหนึ่งเท่านั้น

ต้องใช้เวลานานแค่ไหน ฉันถึงจะรู้สึกดีขึ้น (How long will it take for me to get better)

มีหลายปัจจัยที่ใช้เป็นตัวคำนวณว่าจะใช้เวลารักษานานเท่าไรในการแก้ปัญหาของคุณ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะประกอบด้วย อายุของคุณ, ระยะเวลาที่คุณประสบปัญหามา, การมีโรคเรื้อรัง อาทิเช่น โรคเบาหวานและโรคหัวใจที่รุนแรง อาหารที่คุณรับประทาน พฤติกรรมการออกกำลังกายของคุณ ความต้องการในการทำงาน ระดับความเครียดที่บ้านและที่ทำงาน อุปนิสัยในการนอนและการบริโภคสุราและบุหรี่ จึงไม่เป็นที่แปลกใจว่า การปฏิบัติหรือดำเนินตามนิสัยที่มีประโยชน์ต่อร่างกายและหลีกเลี่ยงอุปนิสัยที่ทำลายสุขภาพร่างกาย จะช่วยให้ระยะเวลาในการรักษานั้นเร็วขึ้น คุณสามารถเข้าชมรายละเอียดในส่วน พฤติกรรมที่ดีต่อสุขภาพ เพื่อเป็นตัวช่วยในการเพิ่มความเร็วในการฟื้นฟูร่างกายของคุณ และหลีกเลี่ยงอุปนิสัยที่ทำร้ายร่างกายคุณ ทุกๆความพยายามนั้นจะถูกนำมาใช้ประเมินอิทธิพลของปัจจัยเหล่านี้พร้อมด้วยคำแนะนำที่ให้เพื่อแก้ไขผลกระทบที่เกิดขึ้น คุณสามารถเข้าชมในส่วนของวิธีการรักษาโดยเฉพาะเจาะจงของแต่ละโรคเพื่อประมาณการระยะเวลาการรักษาโดยเฉลี่ยของแต่ละโรคว่านานแค่ไหนจึงจะดีขึ้นได้ หากคุณมีปัญหาที่คล้ายกันมาก่อนและได้รับการเยียวยาอย่างรวดเร็วด้วยการบำบัดโรคโดยวิธีการจัดกระดูก โอกาสการฟื้นฟูของคุณจะใช้ระยะเวลาใกล้เคียงกันในครั้งนี้

กล่าวโดยทั่วไป ยิ่งคุณมีปัญหานานมากเท่าใด ระยะเวลาในการฟื้นตัวจะยิ่งใช้เวลานานเท่านั้น เพราะร่างกายของคุณจะเริ่มเรียนรู้และปรับสภาพไปตามความผิดปกติที่เกิดขึ้น อาทิเช่น กล้ามเนื้อของคุณได้มีการหดตัวลง และหน่วยรับความรู้สึกของเส้นประสาทในกล้ามเนื้อของคุณก็เรียนรู้ที่จะปรับตัวตามกล้ามเนื้อที่หดสั้นลง ตาม “ความปกติใหม่” ของกล้ามเนื้อ ซึ่งสิ่งนี้จะทำให้กล้ามเนื้อที่หดตัวลงต่อต้านความพยายามที่จะดึงกล้ามเนื้อกลับไปเป็นความยาวปกติก่อนการบาดเจ็บ ดังนั้นการรักษาจึงถูกกำหนดไว้ในรูปแบบของการผ่อนคลายกล้ามเนื้อเพื่อตั้งค่าหน่วยรับความรู้สึกของเส้นประสาทในกล้ามเนื้อใหม่ เพื่อให้ยอมรับการทำให้กล้ามเนื้อยาวขึ้นและกลับสู่ความยาวปกติที่แท้จริงของกล้ามเนื้อ ตามข้อต่อเองก็สูญเสียความสามารถในการเคลื่อนไหวเช่นกันและเริ่มสร้างพังผืดขึ้นมารอบๆ ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษา สามารถก่อให้เกิดการสูญเสียความสามารถในการเคลื่อนไหวในระยะยาว

ด้วยกระบวนการรักษาที่ดีที่คลินิกของเราจะสามารถกระตุ้นร่างกายของคุณให้เริ่มกระบวนการการเปลี่ยนแปลงความผิดปกติต่างๆของร่างกายดังที่กล่าวมาข้างต้นที่เกิดขึ้นให้กลับคืนสู่ปกติ ในขณะที่ผู้ป่วยบางรายรู้สึกดีขึ้นทันที ผู้ป่วยบางรายอาจไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดในครั้งแรกที่มา ในกรณีที่ยากอาจจะใช้เวลา 2 ถึง 3 สัปดาห์เพื่อให้ได้ผลดีเต็มที่เทียบเท่าการมาที่คลินิกครั้งเดียวโดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากคุณมีปัญหามาเป็นระยะเวลานาน ความอดทนและการรักษาต่อเนื่องเท่านั้นที่จะทำให้ประสบความสำเร็จ!

ฉันสามารถแก้ไขปัญหาของฉันได้เร็วขึ้นหรือไม่? (Can I cure my problem more quickly?)

สำหรับสภาวะเรื้อรัง เราขอแนะนำให้เข้าพบ 6 ถึง 12 ครั้งตลอด 4 ถึง 10 สัปดาห์โดยประมาณ หากปัญหาสุขภาพที่คุณประสบนั้นมีระยะเวลานานหลายปี อาจต้องใช้ระยะเวลานานกว่าปกติ ผู้ป่วยบางรายไม่ต้องการรอคอยการรักษา ผู้ป่วยบางรายก็ต้องการให้การรักษาทั้งหมดเสร็จสิ้นภายใน 1 หรือ 2 อาทิตย์เพื่อให้การรักษาของพวกเขาเร็วขึ้น เนื่องจากผู้ป่วยบางรายเดินทางมาจากพื้นที่ไกล และมีเวลาอยู่ในตัวเมืองเพียงระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น สำหรับผู้ป่วยเหล่านี้เราจะสนับสนุนให้พวกเขามาพบมากครั้งที่สุดเท่าที่พวกเขาสามารถทำได้ในระหว่างเวลาสั้นๆที่พวกเขาพักอยู่ในตัวเมือง อย่างไรก็ตามหากคุณพักอาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานคร จะเป็นการดีและได้ผลมากขึ้น หากคุณเข้ารับการรักษาตามตารางการรักษาตลอดระยะเวลา โดยให้ครบเกณฑ์ที่กำหนดไว้ การรักษาความเจ็บป่วยเรื้อรังจะค่อนข้างใช้เวลา ดังเช่นที่คุณไม่สามารถคาดหวังว่าจะมีกล้ามเนื้อใหญ่ขึ้นและแข็งแรงขึ้นด้วยการออกกำลังกายทุกวันเป็นเวลา 1 สัปดาห์เท่านั้น หรือคุณไม่สามารถพบทันตแพทย์จัดฟันเพื่อทำให้ฟันที่เบี้ยวของคุณตรงได้ภายใน 1 สัปดาห์ หรือไม่ก็ปลูกต้นไม้จากเมล็ดพืชในสองสัปดาห์ คุณก็ไม่สามารถคาดหวังว่าจะรักษาปัญหาเรื้อรังได้อย่างรวดเร็วได้เช่นกัน

เหตุผลทั่วไปส่วนใหญ่สำหรับผู้ป่วยที่ล้มเหลวในการรักษา คือ เมื่อพวกเขาเริ่มรู้สึกปฏิเสธที่จะเข้ารับการรักษาที่ใช้ระยะเวลานานจนกว่าการฟื้นฟูที่เริ่มเกิดขึ้น ในขณะที่ผู้ป่วยที่เพิ่งเริ่มป่วยนั้นจะสามารถฟื้นตัวได้ดีขึ้นทันที สิ่งสำคัญที่ผู้ป่วยควรเข้าใจคือส่วนมากแล้วผู้ป่วยที่ป่วยเรื้อรังนั้นจะไม่รู้สึกว่าอาการดีขึ้นในทันทีทันใดในระยะช่วงต้นของการรักษา ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะไม่แสดงอาการดีขึ้นในรูปแบบต่อเนื่องเป็นเส้นตรง แต่จะมีอาการดีขึ้นตามลำดับอย่างค่อยเป็นค่อยไป ผู้ป่วยจะรู้สึกว่าอาการดีขึ้นเล็กน้อย แล้วก็แย่ลงนิดหน่อย แล้วก็ดีขึ้นอีกแล้วแย่ลงนิดหน่อยอีก และเมื่อเวลาผ่านไปคุณสามารถคาดหวังได้ว่า คุณจะพบกับวันที่มีอาการดีขึ้น มากกว่าวันที่แย่และอาการเจ็บป่วยนั้นจะค่อยๆจางหายไป ทางเราจึงอยากจะให้ผู้ป่วยทุกท่านมีความอดทนและอย่าเสียกำลังใจในการรักษาตั้งแต่ครั้งแรก หากคุณพบว่ามีอาการถดถอยเกิดขึ้น

โชคไม่ดีที่ปัจจุบันเราอาศัยอยู่ในโลกที่ซึ่งคนส่วนใหญ่คาดหวังว่าเขาจะสมหวังในทันทีที่เขาต้องการ ในขณะที่เทคโนโลยีที่ทันสมัยสามารถตอบสนองความต้องการเหล่านั้นและให้ผลสำเร็จได้อย่างรวดเร็วในการเข้าถึงข้อมูลต่างๆผ่านระบบอินเตอร์เน็ต ซึ่งสิ่งนี้ไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกับการรักษาสุขภาพได้ แต่กระนั้น แพทย์บางท่านก็จ่ายยาจำนวนมากเพิ่มขึ้นเพื่อที่จะตอบสนองความพึงพอใจแก่ผู้ป่วยให้รู้สึกดีขึ้นในทันที และสร้างภาพลวงตาของสุขภาพที่ดีขึ้นมา ในความเป็นจริงแนวทางนี้จะปิดบังความเจ็บปวดของผู้ป่วยเอาไว้และจะทำให้อาการป่วยแย่ลงอย่างต่อเนื่อง หากคุณมีความเจ็บป่วยเรื้อรัง เราขอแนะนำให้คุณอดทนและตั้งมั่น และเป็นสิ่งที่จำเป็นที่คุณควรจะทำตามคำแนะนำของเราในเรื่องการปฏิบัติตัวที่บ้าน และปฏิบัติตามอุปนิสัยที่ดีต่อสุขภาพอย่างสม่ำเสมอด้วยเช่นกัน

ขั้นตอนและวิธีการรักษาจะมีลักษณะเดียวกันในทุกครั้งที่เข้าพบหรือไม่?
(Are the same procedures used in each visit?)

ไม่จำเป็นเสมอไป การรักษานั้นขึ้นอยู่กับกรณีผู้ป่วยแต่ละราย ผู้ป่วยบางรายมีอาการเกี่ยวโยงในหลายบริเวณ เนื่องจากพวกเขามีอาการเจ็บในหลายบริเวณ ผู้ป่วยรายอื่นไม่ทราบว่าพวกเขามีปัญหาหลายด้านเนื่องจากความเจ็บปวดจากปัญหาในระยะแรกนั้นส่งผลให้เกิดอิทธิพลต่อระบบเส้นประสาทให้เบี่ยงเบนความสนใจจากบริเวณที่มีปัญหาระยะที่สองที่มีความเกี่ยวโยงกัน ถ้าคุณมีอาการที่มีการเกี่ยวโยงหลายบริเวณ คุณอาจจะต้องรักษาอาการทั้งหมดในทุกสัดส่วน เพื่อที่จะค้นหาจุดสุดท้ายที่ต้องทำการบรรเทาอาการ ยกตัวอย่างเช่น ผู้ป่วยที่ปวดหลังช่วงล่างบางราย พบว่าการทำงานของข้อต่อกระดูกมีการทำงานผิดปกติ ในช่วงของกระดูกเชิงกราน ข้อสะโพก ข้อเข่า ข้อเท้าและตาตุ่มและ/หรือกระดูกสันหลังช่วงท้อง แม้กระทั่งการทำหน้าที่ผิดปกติของข้อต่อในกระดูกสันหลังบริเวณคอช่วงบนก็สามารถเป็นสาเหตุให้ปวดหลังช่วงล่าง จุดกระตุ้นในกล้ามเนื้อในบริเวณต่างๆ นอกเหนือจากหลังช่วงล่างเป็นสาเหตุของความเจ็บปวดหลังช่วงล่างได้ ยกตัวอย่างเช่น จุดกดเจ็บในกล้ามเนื้อตรงช่องท้องสามารถอ้างอิงไปถึงความเจ็บปวดที่หลังช่วงล่างได้

สำหรับผู้ป่วยที่มีความเจ็บปวดที่คอ (กระดูกสันหลังส่วนคอ) เป็นเรื่องปกติที่จะพบความผิดปกติของข้อต่อ(การบำบัดโรคข้อต่อเคลื่อนด้วยการจัดกระดูก) ในกระดูกซี่โครงชิ้นแรก ข้อไหล่ และกระดูกสันหลังบริเวณช่องอก นอกเหนือจากตัวกระดูกสันหลังส่วนคอเอง จุดกดเจ็บที่โครงกระดูกซี่โครงก็เป็นเหตุให้ปวดคอได้เช่นกัน แม้กระทั่งขาที่สั้นสามารถเป็นเหตุให้ปวดคอได้

หากคุณมีปัญหาที่ซับซ้อนที่เกี่ยวโยงกันหลายบริเวณ เราจะใช้เวลาส่วนใหญ่กับบริเวณที่มีปัญหาฉับพลันก่อน หากคุณโชคดี การแก้ไขบริเวณที่เจ็บปวดฉับพลันของคุณก็จะเพียงพอที่คุณจะทำให้ความเจ็บปวดของคุณนั้นหายไป ถ้าหากว่าไม่ใช่ในกรณีแบบนี้ที่ว่าบริเวณที่มีปัญหาฉับพลันมีส่วนให้อาการดีขึ้นได้เรามักจะต้องเปลี่ยนเครื่องมือและเปลี่ยนทิศทางความสนใจของเราไปยังบริเวณที่เป็นปัญหาอื่นเพื่อแก้ไขอาการเจ็บปวดเป็นพิเศษอย่างเต็มที่

บางครั้งบางคราวเมื่อรักษาผู้ป่วยรายหนึ่ง แนวทางการรักษาครั้งแรกเกิดล้มเหลวในการแก้ปัญหาของผู้ป่วย ซึ่งสิ่งนี้เกิดขึ้นในทุกสาขาของการบริการทางการแพทย์ ยกตัวอย่างเช่น เมื่ออายุรแพทย์รักษาผู้ป่วยรายหนึ่งเกี่ยวกับความดันโลหิตสูง พวกเขาเลือกยาที่พวกเขารู้สึกว่าน่าจะลดความดันโลหิตของผู้ป่วยได้มากที่สุดโดยมีผลข้างเคียงน้อยที่สุด บางครั้งยาที่ลองครั้งแรกล้มเหลวในการทำให้ความดันโลหิตลดลงได้อย่างเพียงพอหรือมีผลข้างเคียงที่คาดไม่ถึง เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น แพทย์จะสั่งยาตัวอื่นจนกระทั่งพวกเขาค้นพบทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับผู้ป่วย เราใช้กลยุทธ์ในการรักษาประเภทเดียวกันสำหรับผู้ป่วยของเรา เมื่อพบผู้ป่วยรายใหม่ เราเลือกเทคนิคและการบำบัดรักษาซึ่งยึดหลักจากประสบการณ์ของเรา ที่น่าจะทำให้แก้ไขอาการของผู้ป่วยได้ผลเร็วขึ้นมากที่สุด หากการรักษาแก้ไขปัญหาได้ไม่เพียงพอหรือผู้ป่วยจะชอบการรักษาในรูปแบบอื่นมากกว่า เราจะเปลี่ยนหลักเกณฑ์ในการรักษาเพื่อปรับให้เข้ากับผู้ป่วย สิ่งนี้เป็นข้อได้เปรียบในการมีทางเลือกที่หลายหลายในการรักษาของเรา

หากฉันรออยู่เฉย ๆ ปัญหาก็จะไม่ยุติไปเองหรอกหรือ?
(If I simply wait, won’t the problem gradually go away anyway?)

หากคุณโชคดี การอักเสบที่เกี่ยวเนื่องกับปัญหาของคุณจะลด และระดับความเจ็บปวดของคุณจะดีขึ้นในท้ายที่สุด อย่างไรก็ตาม ความไม่สมดุลที่แท้จริงในกล้ามเนื้อและโครงกระดูกของคุณยังคงมีอยู่ตามปกติ หากคุณเลือกที่จะคอยด้วยความหวังว่าอาการต่างๆจะหายไปเอง คุณกำลังเอาอนาคตของคุณมาเสี่ยง เนื่องจากปัญหาที่ค้างไว้โดยไม่รักษาเพียงแค่ปัญหาจากกล้ามเนื้อและกระดูก จุดย่อยๆอาจลุกลามกลายเป็นปัญหาที่ใหญ่ และeคุณอาจจะไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดอีกเลยจนกระทั่งปัญหานั้นได้ฝังแน่นลึกมากขึ้นในระบบกล้ามเนื้อและกระดูกของคุณ เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น การแก้ปัญหาหรือรักษาอาการของคุณจะกลายเป็นเรื่องยุ่งยากมาก คุณสามารถพบปัญหาที่คล้ายคลึงกันนี้ได้ในช่องปากของคุณ ซึ่งเมื่อปัญหาเกิดรุกรานขึ้นก็จะส่งผลให้ต้องรักษาถีงรากฟันได้

การยับยั้งสิ่งเหล่านี้ให้เกิดขึ้นคือ: หากคุณมีปัญหาเกี่ยวกับระบบกล้ามเนื้อและกระดูกที่คุณได้ผัดผ่อนการรักษามานาน เป็นการดีและราคาถูกกว่าที่จะรักษาอาการเหล่านั้นโดยเร็ว คนส่วนใหญ่มักทำพลาดครั้งใหญ่ในชีวิตของพวกเขา ด้วยการใช้เวลาและเงินมากเกินไปในการแสวงหาความมั่งคั่งด้านวัตถุโดยไม่ได้ใส่ใจสุขภาพของเขาที่เพียงพอ ถ้อยคำที่เรามักพบเจอบ่อยที่สุดคือ ท้ายที่สุดคนที่ตกกับดักนี้ต้องใช้เงินและเวลาของพวกเขามากขึ้นในการรักษาปัญหาสุขภาพที่รุนแรง ซึ่งอันที่จริงสามารถป้องกันด้วยการรักษาเล็กน้อยเมื่อเริ่มมีปัญหาก่อนหน้านี้

ฉันออกกำลังกายมากขึ้น เพื่อแก้ปัญหาสุขภาพของฉันไม่ได้หรือ?
(Can’t I simply exercise more to cure my problem?)

เรื่องนี้เป็นหนึ่งในตำนานที่ยิ่งใหญ่มากซึ่งคนเชื่อเกี่ยวกับระบบกล้ามเนื้อและกระดูก การออกกำลังกายจำเป็นในการรักษาความแข็งแรงเกี่ยวกับระบบกล้ามเนื้อและกระดูกนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง การออกกำลังกายมีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูปัญหาระบบกล้ามเนื้อและกระดูก อย่างไรก็ตาม บทบาทของการออกกำลังกายไม่ได้มีเพื่อการฟื้นฟูเสมอไป การออกกำลังกายไม่สามารถปลดกระดูกสันหลังของกระดูกเชิงกรานที่ยึดในกระดูกสันหลัง หรือไม่สามารถทำให้การยึดเกาะของแผ่นพังผืดของคุณหลุดออกจากกันได้ คุณต้องการความช่วยเหลือจากไคโรแพรคเตอร์ที่มีความเชี่ยวชาญสูงในการค้นหากระดูกที่ถูกยึดอย่างแน่ชัด กล้ามเนื้อมัดใดที่หดสั้นลงและแผ่นพังผืดบริเวณใดที่หนาขึ้น ทันทีที่ค้นพบ ไคโรแพรคเตอร์จำเป็นต้องใช้ความชำนาญเป็นอย่างมากในการทำให้กล้ามเนื้อที่หดตัวลงเป็นปกติ การติดขัดในกระดูกและแผ่นพังผืดสามารถรักษาได้ในขณะที่ผู้ป่วยอยู่ในอิริยาบถที่ผ่อนคลายอย่างสมบูรณ์แล้วเท่านั้น โดยใช้การออกแรงและความชำนาญอย่างมากของไคโรแพรคเตอร์ที่จะคลายการยึดติดเหล่านี้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้คุณไม่สามารถทำด้วยตนเองได้ แม้แต่ไคโรแพรคเตอร์ที่มีความเชี่ยวชาญสูงก็ยังไม่สามารถรักษาตัวของเขาเองได้

คุณรักษาเด็กด้วยหรือไม่? (Do you treat children?)

ปัญหาปวดของกล้ามเนื้อและกระดูกของผู้ใหญ่ทั้งหลายอาจมีที่มาตั้งแต่วัยเด็ก เด็กๆ ทุกคนมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุได้ พวกเขาตกจากจักรยาน ตกจากต้นไม้ ต่อสู้กัน เล่นมวยปล้ำกันกับลูกพี่ลูกน้องและอื่นๆ ….. ผู้ปกครองมักจะไม่ค่อยได้รู้เห็นเวลาที่เด็กๆของพวกเขาเกิดเหตุ ซึ่งจะพบเจอมากกว่าไม่เจอว่าเวลาที่เราสอบถามเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บในอดีตพวกเขาก็จะปฏิเสธว่าเคยมีอาการบาดเจ็บมาจากครั้งยังเยาว์วัย คนมักจะลืมแผลเก่าที่พวกเขาได้รับในช่วงวัยเด็ก หรือเหตุการณ์บางอย่างเกี่ยวกับบาดแผลเกิดขึ้นในช่วงวัยเด็กดังกล่าวนั้นเป็นเรื่องยากที่จะจำได้ ฉันนึกถึงเหตุการณ์ในร้านอาหาร เมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ ฉันสังเกตมารดา 2 คนกำลังทานอาหารกลางวันกับเด็กวัยหัดเดินในเก้าอี้สูง พวกผู้หญิงจดจ่ออยู่กับบทสนทนาและไม่ได้ใส่ใจกับเด็กวัยหัดเดินเพียงพอ ทันใดนั้น ฉันก็เห็นหนึ่งในเด็กๆเหล่านั้น โน้มตัวข้ามเก้าอี้และก่อนที่ฉันจะเรียกหรือเตือนได้ เด็กเอาหัวดิ่งลงพื้นก่อนจมูก เขาแผดเสียงและร้องไห้เป็นเวลา 2-3 นาทีและต่อจากนั้นก็ร้องไห้สะอื้นเบา ๆ ในที่สุดก็หยุดร้องไห้ ฉันสงสัยว่าอุบัติเหตุครั้งนี้คงจะไม่ถุกกล่าวถึงอีกเนื่องจากในเวลาต่อมาไม่นานมารดากลับไปสนทนากันต่อทันทีกับเพื่อนของเธอ เธอไม่ได้แสดงถึงความเป็นห่วงหรือจะออกไปแสวงหาการรักษาลูกแต่อย่างใด เหตุการณ์ในทำนองนี้สามารถเปลี่ยนแปลงการพัฒนาการจัดเรียงโครงกระดูกไปจากปกติได้หากไม่ได้รับการรักษา การตกในลักษณะนี้ตามปกติแล้วจะไม่ได้นำไปสู่อาการกระดูกหักเนื่องจากความยืดหยุ่นของกระดูกเด็กวัยหัดเดิน อย่างไรก็ตาม มันจะกลายเป็นเหตุให้เกิดปฏิกิริยาการอักเสบพร้อมด้วยอาการกล้ามเนื้อหดเกร็งเกิดขึ้นและเป็นไปได้ที่จะมีการก่อรูปของเนื้อเยื่อพังผืดบางอย่างในบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บ กล้ามเนื้อหดเกร็งเหล่านี้ทำให้เกิดการหดสั้นของกล้ามเนื้อที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งปรับเปลี่ยนการเคลื่อนไหวของข้อต่อที่ติดกันทำให้พวกมันเคลื่อนไหวได้น้อยลงในท้ายที่สุด ถ้ากล้ามเนื้อไม่ได้ถูกคลายและข้อต่อไม่คงที่อย่างค่อยเป็นค่อยไป เด็กจะเริ่มเติบโตโดยมีโครงกระดูกที่ไม่สมดุล จนกว่าจะมีใครมาตรวจพบว่าเด็กคนนั้นมีการพัฒนาของร่างกายในลักษณะที่มีโครงกระดูกที่ไม่สมดุล ร่างกายที่ไม่มีความสมมาตรนั้นก็จะกลายเป็นสภาพถาวรไปเสียแล้ว

ร่างกายของทุกคนเหมือนกับเขตทุ่นระเบิดที่ทิ้งเกลื่อนกลาดด้วยหลักฐานของการบาดเจ็บก่อนหน้า เราสามารถเห็นหลักฐานของการบาดเจ็บก่อนหน้าเหล่านี้ซึ่งแสดงผ่านกล้ามเนื้อที่หดลงอย่างเรื้อรังซึ่งอาจจะเจ็บปวดผิดปกติเวลาที่สัมผัสและทำให้ข้อต่อตรงผิดรูป เราจะพบเงื่อนงำเหล่านี้ได้จากเด็กบางคนเวลาที่ทำการตรวจสอบแล้วต่างรู้กันดีอยู่แล้วว่าพวกเขามีประวัติการบาดเจ็บในอดีตที่ไม่ได้รับการรักษาหรือในเด็กที่เรารู้ว่ามีการเล่นแบบผาดโผนหรือรุนแรง อาทิ การเล่นกีฬาหลากหลาย ถ้าคุณไม่คิดว่าลูกของคุณเคยได้รับบาดเจ็บ คลิกลิงค์นี้เพื่อดูวิดีโอของเด็กๆ ที่มีลักษณะการหกคะเมนที่เกิดขึ้นทุกวัน:

http://www.youtube.com/watch?v=BJYCp8I9qUs

นอกเหนือจากการรักษาแผลบาดเจ็บในเด็กๆ ไคโรแพรคเตอร์สนใจในการแก้ปัญหาการทรงตัวในเด็กด้วยเช่นกัน ท่าทรงตัวที่ไม่ดีเป็นสาเหตุของสภาวะอาการปวดทั่วร่างกายแม้แต่ในเด็ก ผู้ใหญ่ทั้งหลายรู้อยู่แก่ใจดีว่าการนั่งทำงานที่โต๊ะทำให้พวกเขาเจ็บปวด สิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่รับรู้ คือ ลูกๆ ของพวกเขาสัมผัสกับความเคล็ดจากท่าทรงตัวในขณะที่นั่งอยู่ในชั้นเรียนทั้งวัน สิ่งนี้เป็นปรากฏการณ์ค่อนข้างใหม่ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ บรรพบุรุษของเราไม่นั่งทั้งวันในห้องเรียนและหลังจากนั้นกลับบ้านและเรียนเพิ่มอีก พวกเขาไม่จ้องจอคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือ เด็กๆ ของคนรุ่นใหม่สมัยก่อนออกไปช่วยเหลือครอบครัวของพวกเขาเพื่อให้อยู่รอด ทำงานหนักตั้งแต่อายุยังน้อย เมื่อพวกเขาเล่น พวกเขาน่าจะเล่นนอกบ้านมากกว่าในลักษณะที่ใช้กำลังมากกว่าเด็กสมัยนี้ การขาดระดับกิจกรรมที่เพียงพอนี้มักจะเป็นสาเหตุให้เกิดการพัฒนาท่าทรงตัวที่ไม่ดี บ่อยครั้งที่ท่าทรงตัวที่ไม่ดีเป็นสาเหตุหลักต่อสิ่งที่วินิจฉัยผิดบ่อยเป็น “ความเจ็บปวดมากขึ้น” ถ้าลูกของคุณบ่นถึงความเจ็บปวดหรือมีท่าทรงตัวที่ไม่ดี เราแนะนำให้คุณพาเขามาเพื่อตรวจร่างกาย

คุณรักษาผู้สูงอายุด้วยหรือไม่? (Do you treat seniors?)

เรารักษาผู้สูงอายุหลายคน ภาพที่บันทึกไว้ข้างต้นเป็น Mr.James Davison ผู้ป่วยที่มารักษากับเราเมื่อนานมาแล้วที่คลินิก เขาเป็นดีเจวิทยุและผู้นำเสนอในประเทศเป็นเวลากว่า 40 ปี ด้วยวัย 99 ปี เขายังอาศัยด้วยตนเองและทำงานไม่เต็มเวลา เขาชอบที่จะไปเต้นรำเพื่อความบันเทิง เขาค้นพบว่าการรักษาแบบไคโร- แพรคติก ช่วยให้เขาดำเนินชีวิตต่อไปได้

ผู้สูงอายุมักจะมาพร้อมกับการคร่ำครวญถึงความเจ็บปวดที่หลังช่วงล่าง ความล้าที่ขาและปวดคอ การปวดเข่าเรื้อรังเป็นหนึ่งในการเจ็บปวดส่วนใหญ่ที่เรารักษาให้กับผู้สูงอายุ เรามีเทคนิคเชี่ยวชาญพิเศษที่นุ่มนวลในการปรับการรักษาให้เหมาะตามความต้องการของผู้สูงอายุ

ฉันมีคำถามซึ่งไม่ได้รับคำตอบ ณ ที่นี้ ฉันสามารถโทรหาคุณเพื่อสอบถามข้อสงสัยของฉันได้หรือไม่?

เนื่องจากเป็นหลักเกณฑ์ทั่วไป ดร.มาร์คไม่รับโทรศัพท์จากผู้ป่วยระหว่างชั่วโมงทำงาน เขาทำงานต่อเนื่องตลอดทั้งวันตามปกติ มักจะหยุด 2-3 นาทีเท่านั้นเพื่อรับประทานอาหารกลางวัน มันไม่ยุติธรรมกับลูกค้าที่จ่ายเงินเหล่านั้นในการหยุดชะงักการรักษาของพวกเขาเพื่อรับโทรศัพท์ ภรรยาของดร.มาร์ค คุณหนิงสามารถตอบข้อสงสัยส่วนใหญ่ที่ถามทางโทรศัพท์ได้ เนื่องจากเธอทำงานร่วมกับเขามาเป็นเวลานาน คุณอาจจะเขียนอีเมล์ถึง ดร.มาร์ค และเขาจะตอบอีเมล์ของคุณ ซึ่งเป็นวิธีการที่ดีกว่าเนื่องจากคนจะไม่จำสิ่งที่พวกเขากล่าวในบทสนทนาที่พูดคุยกันสั้นๆทางโทรศัพท์ ตรงกันข้ามกับการอ่านและให้คำตอบทางอีเมล์ให้กับข้อสงสัยหรือคำถามของคุณโดยไตร่ตรองอย่างละเอียดมาก