เกี่ยวกับ ดร. มาร์ค

คุณหมอมาร์คพื้นเพเป็นคนเมืองมาลิบู รัฐแคลิฟอร์เนีย สำเร็จการศึกษาด้านการแพทย์แผนไคโรแพรคติก และปริญญาตรีด้านวิทยาศาสตร์ สาขาชีววิทยามนุษย์ คุณหมอได้เข้ารับการศึกษาในระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัย แคลิฟอร์เนียม นอร์ธริดจ์(CSUN) และยังได้ทำการศึกษาเพิ่มเติมในหลักสูตรมาตรฐานการแพทย์เบื้องต้นที่ CSUN อีกด้วย จากนั้นได้ไปทำการศึกษาเพิ่มในแผนก วิทยาศาสตร์การกีฬา ที่ซึ่งทำให้เขาได้เรียนรู้ทั้งศาสตร์ชั้นสูงในด้านชีวกลศาสตร์ และวิทยาศาสตร์การกีฬา ข้อดีในการเข้าใจหลักชีวกลศาสตร์และวิทยาศาสตร์การกีฬานั้นมีความสำคัญในการให้คำแนะนำแก่นักกีฬาและบุคคลทั่วไป ว่าควรเคลื่อนไหวร่างกายอย่างไรจึงจะปลอดภัยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อหลีกเลี่ยงอาการบาดเจ็บต่างๆ นอกจากนี้คุณหมอยังรับการศึกษาในด้านสรีรวิทยาการออกกำลังกาย, การแนะนำการออกกำลังกายทั่วไป และการออกกำลังกายในบุคคลทุพลภาพที่ CSUNอีกด้วย ดังนั้นคุณหมอมาร์คจึงเป็นผู้มีความเข้าใจเป็นอย่างดีในศาสตร์การออกกำลังกาย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถเอาชนะโรคและความเจ็บปวดได้

ในช่วงเวลาที่คุณหมอมาร์คเข้าฝึกอบรมการรักษาในแบบไคโรแพรคติกนั้น คุณหมอได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับโภชนาการวิทยาศาสตร์ควบคู่ไปด้วย เขาได้ค้นพบว่าการให้คำปรึกษาทางโภชนาการมักเป็นเครื่องมือที่สำคัญที่สุดที่เขามีในกล่องเครื่องมือของเขาที่ถูกนำออกมาใช้เพื่อช่วยให้คนไข้อาการดีขึ้นหรือลดระดับอาการปวดลงอยู่เสมอ คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยตระหนักว่ามีการสอนเกี่ยวกับการโภชนาการอย่างกว้างขวางในการฝึกอบรมแพทย์แผนไคโรแพรคติกสมัยใหม่ ในขณะที่โรงเรียนแพทย์โดยมากมีการจัดสอนทางด้านโภชนาการคลินิกน้อยกว่า 20 ช.ม.แก่นักศึกษาแพทย์ อันเนื่องมาจากการให้ความสำคัญกับการให้ยาเป็นหลักมากกว่าการให้คำแนะนำทางโภชนาการที่ถูกต้อง ดังนั้นจึงเป็นการยากที่จะหาแพทย์ทั่วไปที่จะใช้เวลามากพอในการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับคุณค่าของการโภชนาการที่เหมาะสมพอที่จะช่วยเยียวยาในกระบวนการบำบัดรักษาได้

คุณหมอมาร์คได้เข้ารับการศึกษาการแพทย์แผนไคโรแพรคติกจาก มหาวิทยาลัยลอสแองเจลิสเพื่อการแพทย์ ไคโรแพรคติก (LACC) ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางที่สุดในวงการมหาวิทยาลัยเพื่อแพทย์แผนไคโรแพรคติกที่สหรัฐอเมริกา จากที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้คุณหมอได้เรียนรู้เทคนิคการรักษาของแพทย์ไคโรแพรคติกอย่างหลากหลายไม่ว่าจะเป็น Diversified Technique, Gonstead Technique, Cox Flexion Distraction Technique, McKenzie Technique, Nimmo Receptor Tonus Technique, Thompson Drop Table Technique, และ Blair Upper Cervical Technique อีกทั้งยังศึกษาเทคนิคอันหลากหลายของการทำกายภาพบำบัดเพิ่มเติมอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น เทคนิคการใช้คลื่น Ultrasound อย่างเหมาะสม, การกระตุ้นกล้ามเนื้อด้วยคลื่นไฟฟ้า, การบำบัดโรคด้วยแสงเลเซอร์, การบำบัดโรคด้วยอุณหภูมิร้อนและเย็น, เทคนิคการนวดเนื้อเยื่อชั้นลึกเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพ, การนวดกดจุดกล้ามเนื้อ, Traction, การบำบัดโรคด้วยการออกกำลังกายเป็นต้น

“หากทั้งหมดที่คุณมีอยู่ในกล่องเครื่องมือคือค้อน
ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะกลายเป็นตะปูไปหมด”

(ถ้าคุณมีความรู้เพียงอย่างใดอย่างหนึ่งก็จะแก้ไขปัญหาต่างๆได้ด้วยวิธีเพียงวิธีเดียว หรือแก้ปัญหาเป็นแบบเดียว แต่ถ้ามีความรู้หลากหลายก็สามารถแก้ปัญหาได้หลากหลายและมีหลายแนวทางในการแก้ปัญหาเช่นกัน)

ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้คุณหมอมาร์คอุทิศตนให้แก่การเรียนรู้ทักษะเพราะรู้ดีว่าไม่มีเทคนิคใดๆใช้เดี่ยวๆหรือใช้การรักษาบำบัดเพียงอย่างเดียวแล้วจะสามารถรักษาคนไข้ทุกคนได้อย่างอย่างมีประสิทธิภาพ
ในโลกแห่งความเป็นจริงเราจะต้องนำความสามารถมาประยุกต์ใช้ให้ตรงกับความต้องการของคนไข้ทั้งในรายบุคคลและในส่วนรวมให้ได้ สำหรับตัวคุณหมอนั้นสามารถจะดึงเอาประสบการณ์จากการรักษาคนไข้เป็นผลสำเร็จมาแล้วกว่า 10,000 รายมาปรับใช้ในการทำงานของเขาได้เสมอ เปรียบการรักษาคนไข้แต่ละคนเป็นเหมือนงานหัตถกรรม ที่งานแต่ละชิ้นหรือคนไข้แต่ละคน_มีความแตกต่างกัน_และใช้ความละเอียดประณีตในการทำการรักษาเป็นอย่างยิ่ง

คนไข้ส่วนใหญ่เพียงเข้ารับการรักษาเบื้องต้นก็อาจประสบความสำเร็จในการรักษาได้ แต่ก็เช่นเดียวกับที่คุณหมอทุกคนท่านต้องเจอก็คือ บางครั้งการรักษาด้วยวิธีแรกก็อาจจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาของคนไข้ได้อย่างสมบูรณ์ และด้วยเหตุนี้คุณหมอมาร์คผู้ซึ่งมีกล่องเครื่องมือขนาดใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยอุปกรณ์ ความสามารถอันหลากหลาย และเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ จึงสามารถช่วยแก้ไขปัญหาความเจ็บปวดใดๆก็ตามที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิผล

หลังจากสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยการแพทย์ไคโรแพรคติกในปี 1990 เขาได้ทำการปฏิบัติงานอยู่ใน ลอสแองเจลิสถึง 5 ปีก่อนที่จะได้รับการเชิญให้เข้าร่วมทำงานกับคลินิกแพทย์ไคโรแพรคติกแห่งแรกที่กรุงเทพในปี 1995 จึงได้เริ่มทำงานเต็มเวลาที่กรุงเทพนับแต่นั้นเป็นต้นมา คุณหมอมาร์คนับได้ว่าเป็นคุณหมอไคโรแพรคเตอร์รุ่นผู้บุกเบิกที่เข้ามาปฎิบัติงานในประเทศไทยก็ว่าได้ ภาพด้านล่างคือคลินิกไคโรแพรคติกแห่งแรกที่เป็นรุ่นบุกเบิกซึ่งถูกถ่ายขึ้นในปี 1995

ในปี 1999 สมาคมไคโรแพรคติกแห่งประเทศไทยได้จัดตั้งขึ้นเพื่อการจัดระเบียบแพทย์ไคโรแพรคติกผู้ประกอบวิชาชีพในประเทศไทย คุณหมอมาร์คได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการของสมาคม นับตั้งแต่ที่เริ่มลงทะเบียนสมาคมจวบจนทุกวันนี้ คุณหมอได้อุทิศเวลาและความพยายามเป็นอย่างยิ่งในการประสานงานระหว่างสมาคมและกระทรวงสาธารณสุขแห่งประเทศไทย เพื่อให้การแพทย์ไคโรแพรคติกได้รับการยอมรับทางกฎหมายวิชาชีพอย่างถูกต้องในประเทศไทย

ภาพด้านล่างเป็นรูปภาพในขณะที่คุณหมอมาร์ค ทำการนำเสนอแก่กระทรวงสาธารณสุขในปี 1999 อีก 2 ภาพเป็นภาพของสมาชิกท่านอื่นในสมาคม ผู้ซึ่งมีส่วนร่วมในกระบวนการการผลักดันให้การแพทย์ไคโรแพรคติกได้รับการยอมรับอย่างถูกต้องตามกฎหมายในประเทศไทย

หลังจาก 8 ปีแห่งความพยายามที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ผ่านความพ่ายแพ้มาหลายต่อหลายครั้ง ในปี 2007 สมาคมไคโรแพรคติกแห่งประเทศไทยได้ประสบความสำเร็จในการทำให้วิชาชีพแพทย์ไคโรแพรคติกได้รับการรองรับอย่างถูกกฎหมายในประเทศไทย คุณหมอมาร์คได้รับเชิญให้ไปเป็นวิทยากรบรรยายให้กับแพทย์แผนไทยที่สมาคมการศึกษาเรื่องความปวดแห่งประเทศไทย และสมาคมศัลยกรรมประสาทแห่งประเทศไทยอีกด้วย

คุณหมอเป็นเครื่องหมายแห่งศรัทธาสำหรับผู้ประกอบอาชีพไคโรแพรคติกว่าการที่จะสามารถประสบความสำเร็จในประเทศไทยได้ในระยะยาวนั้น การสร้างสะพานความสัมพันธ์กับผู้เชี่ยวชาญด้านอื่นๆนั้นมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง

นอกเหนือไปจากการสละเวลาของเขาเพื่อการช่วยงานของสมาคมฯแล้ว คุณหมอยังมีส่วนร่วมในงานการกุศลต่างๆในประเทศไทยนับตั้งแต่เขาเข้ามาเมื่อปี 1995 คุณหมอได้ใช้เวลาส่วนตัวหลายร้อยชั่วโมงเพื่อการระดมเงินทุนช่วยเหลือ และให้การรักษาแบบไม่คิดค่าใช้จ่ายให้แก่เด็กพิการที่มูลนิธิเพื่อเด็กพิการย่านห้วยขวาง, กทม. และที่บ้านเด็กพิการทางสายตาและผู้พิการซ้ำซ้อนในย่าน บางเขน, กทม.

คุณหมอมาร์คในภาพด้านบนถ่ายที่มูลนิธิเพื่อเด็กพิการ กำลังทำการรักษาเด็กน้อยผู้พิการทางสมอง ที่นี่เป็นศูนย์กลางสำหรับเด็กที่ส่วนใหญ่มีฐานะยากจนจะนำเอาบุตรหลานของตนมารวมกันเพื่อทำกิจกรรมต่างๆระหว่างวัน โดยที่เด็กๆเหล่านั้นยังคงอาศัยอยู่กับครอบครัวของตัวเอง ผู้หญิงทางซ้ายมือเป็นแม่ของเด็กผู้ชายคนนั้นเอง ส่วนผู้หญิงฝั่งขวามือเป็นอาสาสมัครชาวไทยผู้อุทิศตนมาช่วยเหลือพวกเรา จากภาพคุณจะสามารถสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากผู้ช่วยอาสาสมัครทุกท่านของเรา เป็นความงดงามของวิถีชีวิตแบบเดิมๆของชาวไทยที่ไม่เคยทอดทิ้งกัน

ภาพถ่ายทั้ง 3 ภาพนี้ถูกถ่ายที่บ้านเด็กพิการทางสายตาและผู้พิการซ้ำซ้อน บ้านแห่งนี้เป็นหนึ่งในโครงการของมูลนิธิ คริสเตียน เพื่อผู้พิการทางสายตาแห่งประเทศไทยภายใต้พระบรมราชูปถัมภ์ เด็กที่นี่ส่วนใหญ่เป็นผู้พิการทางสมองและยังพิการทางสายตาอีกด้วย เด็กเหล่านี้จะพักอาศัยอยู่ที่มูลนิธิเลย เพราะส่วนใหญ่จะเป็นเด็กที่ถูกทอดทิ้งจากครอบครัวของพวกเขาเอง แต่ก็เป็นที่น่าประหลาดใจว่าเด็กๆเหล่านี้กลับมีวิธีการตอบสนองต่อการดูแล รักษาแบบไคโรแพรคติกอย่างเป็นธรรมชาติ ในช่วง 2 สัปดาห์แรกของการรักษาเด็กๆเหล่านี้เป็นไปอย่างยากลำบาก เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับพวกเขา แต่หลังจากนั้นพวกเขาทุกคนกลับพากันเรียงแถวเข้ามายังห้องรักษาของพวกเรา อย่างกระฉับกระเฉง เมื่อพวกเราไปถึงก็พบว่าพวกเขาต่างพากันนั่งรอกันอย่างอดทน ตามแถวของเก้าอี้เพื่อรอการรักษาในรอบของตน เด็กพวกนี้ส่วนใหญ่ยังเป็นผู้มีปัญหาทางจิตร่วมด้วย จึงไม่มีผู้ใดจะสามารถสื่อสารกับพวกเขาได้ว่าเรากำลังจะทำอะไรกับเขา แต่พวกเขาก็ได้แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจจากสัญชาตญาณว่าเรากำลังทำบางสิ่ง ที่ดีให้กับพวกเขา หลายคนแสดงให้เห็นถึงการประท้วงเมื่อรอบการรักษาของพวกเขาจบลง บางคนถึงกับไม่ยอมลงจากเตียงรักษา เด็กๆเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงสัญชาตญาณสากลของมนุษย์ล้วนแล้วแต่ต้องการการ รักษาด้วยพลังแห่งการสัมผัส พวกเราทุกคนจำเป็นต้องเก็บเกี่ยวประสบการณ์เหล่านี้เพื่อการเจริญเติบโต อย่างแท้จริง น่าเศร้าที่คนส่วนมากใช้ชีวิตอย่างถูกลิดรอนจากประโยชน์ของพลังจากการสัมผัส

จาก การทำงานที่มูลนิธิทำให้คุณหมอมาร์คได้พบกับภรรยา คุณรจนา (หนิง) เมื่อครั้งที่คุณหมอได้เริ่มทำงานอาสาสมัครครั้งแรกที่มูลนิธิเพื่อเด็ก พิการ ทางมูลนิธิได้พยายามเสาะหาล่ามเพื่อมาช่วยให้คุณหมอมาร์คสามารถสื่อสารกับ ทางผู้ปกครองของเด็กๆ เพื่อที่จะได้ทำการรักษาได้ผลดียิ่งขึ้น จนได้มาพบกับคุณหนิงผู้เป็นนักศึกษาในสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ซึ่งในขณะนั้นกำลังทำการศึกษาในระดับปริญญาโททางด้านภาษาอังกฤษเพื่อธุรกิจ ซึ่งคุณหนิงเองก็เห็นด้วยกับการช่วยเป็นตัวกลางสื่อสารระหว่างทั้ง 2 ฝ่าย จึงได้สละเวลาของตัวเองเพื่อมาเป็นผู้ช่วยให้แก่คุณหมอมาร์ค ซึ่งตัวเธอเองจะได้ฝึกฝนทักษะภาษาอังกฤษของตนเอง อีกทั้งยังได้ทำบุญไปด้วยในตัว เมื่อทั้ง 2 ได้พบกันก็เกิดความชอบพอกันตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบจนในที่สุดก็ได้แต่งงาน กัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าหากคุณประกอบคุณงามความดีแล้วไม่ช้าก็เร็วคุณจะได้รับ รางวัลตอบแทนเอง ทั้ง 2 มีบุตรสาวด้วยกัน 1 คนชื่อว่า ณิกกิ

ภาพด้านล่างถูกถ่ายขึ้นในปี 2538 เมื่อตอนมาถึงเมืองไทยใหม่ ๆ คุณเดาได้หรือไม่ว่ามันถูกถ่ายจากที่ใด บางภาพอาจจะสามารถเดาได้ง่ายกว่าบางภาพ เบาะแสจะอยู่ในภาพที่ 3 ให้ดูในภาพทางมุมของด้านบนจากสิ่งที่โดดเด่นจากตึกในกรุงเทพรอบ ๆ สำหรับคำตอบให้ไปที่ส่วนของความคิดหลัก